Sunday, September 11, 2011

บางทีก็ไม่รู้ว่าจะบอกใครอะไรยังไง
ชีวิตเป็นความทุกข์ที่เราไม่อาจปฏิเสธ
ในขณะเดียวกันก็เป็นความกว้างใหญ่

อ.ท่านหนึ่งเคยเล่าว่ามีผู้รู้ทา่นหนึ่งกล่าวว่า
เวลาที่เราเห็นอะไร ฟังอะไร เรารู้สึกสะเทือนความรู้สึก
เพราะว่าข้างในมันก็เป็นอย่างนั้น
เราจึงรู้สึกถึงมันได้

อย่างความเศร้าในขณะนี้
และหยาดน้ำตาของฉัน
มันก็คงมาจากความเจ็บปวด
และความทุกข์ที่มีของฉันมาช้านาน
และหลายครั้งๆ น้ำตาก็เป็นเพียงตัวแทนของความรู้สึกเท่านั้นเอง

รู้ตัวว่าเราจะดูแลความทุกข์เหล่านี้ได้
ก็ต่อเมื่อเราบ่มเพาะความรักความเมตตา
และการภาวนาไม่มีทางอื่นใดเลย

ช่วงนี้ท้อใจและมองไม่เห็นหนทางที่จะทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลย
เห็นชีวิตนี้เป็นทุกข์โดยสมบูรณ์

เและทำสิ่งอื่นใดไม่ได้นอกจากการภาวนา
และบ่มเพาะความรักความเมตตาต่อไป

ปัญญาคือความรู้แจ้งโดยสัญชาตญาณของจิต
แห่งความรักและความชัดเจน ซึ่งดำรงอยู่ภายใต้
ความสับสนและความก้าวร้าวที่ถูกขับเคลื่อนโดยอัตตา 
การภาวนาจะทำให้เราเข้าไปในจิตใจเพื่อมองเห็นสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง 
ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งสัญชาตญาณพื้นฐานของจิตใจอันกระจ่างชั
เยี่ยงนั้นคือที่ที่เราจะวางใจอยู่ได้  ศีลจะนำเรากลับมาสู่หนทาง 
ผ่านแบบอย่างการปฏิบัติและความรับผิดชอบในการกระทำ
 ซึ่งสูงสุดคือเพื่อชุมชนอันแท้จริง อันหมายถึงสังฆะแห่ง "สรรพชีวิต" 
แกรี่ สไนเดอร์

No comments: